วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขั้นตอนการสร้างเวบไซต์

ขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์


1. กำหนดเป้าหมายและวางแผนงาน
1.1
กำหนดเป้าหมายของเว็บไซต์
1.2
กำหนดกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย
1.3
กำหนดขอบเขตเนื้อหา และรวบรวมข้อมูลเนื้อหา
1.4
เตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ที่จำเป็น
1.5
เตรียมทักษะและบุคลากร
1.6
ประมาณการค่าใช้จ่าย
2. เลือก Web hosting และจด Domain name
2.1 Web hosting
คืออะไร
2.2
หลักการเลือก Web hosing
2.3
การจด Domain name
2.4
การตั้งชื่อ Domain name ที่ดี
3 ออกแบบเว็บไซต์
3.1
การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure Design)
3.2
การออกแบบระบบเนวิเกชั่น (Site Navigation Design)
3.3
การออกแบบเว็บเพจ (Page Design)
4 ลงมือสร้างและทดสอบ
4.1
รูปแบบของเว็บไซต์
4.2
ภาษาโปรแกรมที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์
4.3
โปรแกรมที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์
4.4
ลงมือสร้างเว็บไซต์
5. ประชาสัมพันธ์ให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก
6. ดูแล และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558


โครงสร้างเว็บไซต์

               การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ คือ การวางแผนการจัดลำดับ เนื้อหาสาระของเว็บไซต์ ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อจัดทำเป็นโครงสร้างในการจัดวางหน้าเว็บเพจทั้งหมด เปรียบเสมือนแผนที่ ที่ทำให้เห็นโครงสร้างทั้งหมดของเว็บไซต์ ช่วยให้นักพัฒนาเว็บไซต์ไม่หลงทาง การจัดโครงสร้างของเว็บไซต์ มีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การที่จะทำให้ผู้เข้าเยี่ยมชม สามารถค้นหาข้อมูลในเว็บเพจได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ที่สามารถสร้างความสำเร็จให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ในการออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์ (Webmaster) การออกแบบโครงสร้างหรือจัดระเบียบของข้อมูลที่ชัดเจน แยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันและให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน จะช่วยให้น่าใช้งานและง่าย ต่อการเข้าอ่านเนื้อหาของผู้ใช้เว็บไซต์


หลักการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์มีดังนี้

          1. กำหนดวัตถุประสงค์ โดยพิจารณาว่าเป้าหมายของการสร้างเว็บไซต์นี้ทำเพื่ออะไร
          2. ศึกษาคุณลักษณะของผู้ที่เข้ามาใช้ว่ากลุ่มเป้าหมายใดที่ผู้สร้างต้องการสื่อสาร ข้อมูลอะไรที่พวกเขาต้องการโดยขั้นตอนนี้ควรปฏิบัติควบคู่ไปกับขั้นตอนที่หนึ่ง
          3. วางแผนเกี่ยวกับการจัดรูปแบบโครงสร้างเนื้อหาสาระ การออกแบบเว็บไซต์ต้องมีการจัดโครงสร้างหรือจัดระเบียบข้อมูลที่ชัดเจน การที่เนื้อหามีความต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุดหรือกระจายมากเกินไป อาจทำให้เกิดความสับสนต่อผู้ใช้ได้ ฉะนั้นจึงควรออกแบบให้มีลักษณะที่ชัดเจนแยกย่อยออกเป็นส่วนต่าง ๆ จัดหมวดหมู่ในเรื่องที่สัมพันธ์กัน รวมทั้งอาจมีการแสดงให้ผู้ใช้เห็นแผนที่โครงสร้างเพื่อป้องกันความสับสนได้
          4. กำหนดรายละเอียดให้กับโครงสร้าง ซึ่งพิจารณาจากวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ โดยตั้งเกณฑ์ในการใช้ เช่น ผู้ใช้ควรทำอะไรบ้าง จำนวนหน้าควรมีเท่าใด มีการเชื่อมโยง มากน้อยเพียงใด

 รูปแบบโครงสร้างเว็บไซต์ 
          การออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและความชอบของผู้ออกแบบ ตลอดจนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการนำเสนอ โครงสร้างของเว็บไซต์ประกอบไปด้วย 4 รูปแบบใหญ่ๆ ได้ดังนี้

1. โครงสร้างแบบเรียงลำดับ (Sequential Structure) 

          เป็นโครงสร้างแบบธรรมดาที่ใช้กันมากที่สุดเนื่องจากง่ายต่อการจัดระบบข้อมูล ข้อมูลที่นิยม จัดด้วยโครงสร้างแบบนี้มักเป็นข้อมูลที่มีลักษณะเป็นเรื่องราวตามลำดับของเวลา เช่น การเรียงลำดับตามตัวอักษร ดรรชนี สารานุกรม หรืออภิธานศัพท์ โครงสร้างแบบนี้ เหมาะกับเว็บไซต์ที่มีขนาดเล็ก เนื้อหาไม่ซับซ้อนใช้การลิงก์ (Link) ไปทีละหน้า ทิศทางของการเข้าสู่เนื้อหา (Navigation) ภายในเว็บจะเป็นการดำเนินเรื่องในลักษณะเส้นตรง โดยมี ปุ่มเดินหน้า-ถอยหลังเป็นเครื่องมือหลักในการกำหนดทิศทาง ข้อเสียของโครงสร้างระบบนี้คือ ผู้ใช้ไม่สามารถกำหนดทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาของตนเองได้












2. โครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical Structure)
       
  เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการจัดระบบโครงสร้างที่มีความซับซ้อนของข้อมูล โดยแบ่งเนื้อหา ออกเป็นส่วนต่างๆ และมีรายละเอียดย่อยๆ ในแต่ละส่วนลดหลั่นกันมาในลักษณะแนวคิดเดียวกับ แผนภูมิองค์กร จึงเป็นการง่ายต่อการทำความเข้าใจกับโครงสร้างของเนื้อหาในเว็บลักษณะนี้ ลักษณะเด่นเฉพาะของ เว็บประเภทนี้คือการมีจุดเริ่มต้นที่จุดร่วมจุดเดียว นั่นคือ โฮมเพจ (Homepage) และเชื่อมโยงไปสู่เนื้อหา ในลักษณะเป็นลำดับจากบนลงล่าง





ตัวอย่างโครงสร้างแบบลำดับขั้น





  3. โครงสร้างแบบตาราง (Grid Structure) 
         
โครงสร้างรูปแบบนี้มีความซับซ้อนมากกว่ารูปแบบที่ผ่านมา การออกแบบเพิ่มความยืดหยุ่น ให้แก่การเข้าสู่เนื้อหาของผู้ใช้ โดยเพิ่มการเชื่อมโยงซึ่งกันและกันระหว่างเนื้อหาแต่ละส่วน เหมาะแก่ การแสดงให้เห็นความสัมพันธ์กันของเนื้อหา การเข้าสู่เนื้อหาของผู้ใช้จะไม่เป็นลักษณะเชิงเส้นตรง เนื่องจากผู้ใช้สามารถเปลี่ยนทิศทางการเข้าสู่เนื้อหาของตนเองได้ เช่น ในการศึกษาข้อมูลประวัติศาสตร์ สมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ โดยในแต่ละสมัยแบ่งเป็นหัวข้อย่อยเหมือนกันคือ การปกครอง ศาสนา วัฒนธรรม และภาษา ในขณะที่ผู้ใช้กำลังศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับ การปกครองในสมัยอยุธยา ผู้ใช้อาจศึกษาหัวข้อศาสนาเป็นหัวข้อต่อไปก็ได้ หรือจะข้ามไปดูหัวข้อ การปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนก็ได้เพื่อเปรียบเทียบลักษณะข้อมูลที่เกิดขึ้นคนละสมัยกัน






  4. โครงสร้างแบบใยแมงมุม (Web Structure)
         
 โครงสร้างประเภทนี้จะมีความยืดหยุ่นมากที่สุด ทุกหน้าในเว็บสามารถจะเชื่อมโยงไปถึงกัน ได้หมด เป็นการสร้างรูปแบบการเข้าสู่เนื้อหาที่เป็นอิสระ ผู้ใช้สามารถกำหนดวิธีการเข้าสู่เนื้อหาได้ด้วย ตนเอง การเชื่อมโยงเนื้อหาแต่ละหน้าอาศัยการโยงใยข้อความที่มีมโนทัศน์ (Concept) เหมือนกัน ของแต่ละหน้าในลักษณะของไฮเปอร์เท็กซ์หรือไฮเปอร์มีเดีย โครงสร้างลักษณะนี้จัดเป็นรูปแบบที่ ไม่มีโครงสร้างที่แน่นนอนตายตัว (Unstructured) นอกจากนี้การเชื่อมโยงไม่ได้จำกัดเฉพาะเนื้อหา ภายในเว็บนั้นๆ แต่สามารถเชื่อมโยงออกไปสู่เนื้อหาจากเว็บภายนอกได้





ตัวอย่างโครงสร้างแบบใยแมงมุม







วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557

SQL Structured

ภาษา SQL นั้นไม่เป็น case sensitive (ตัวเล็ก ตัวใหญ่มีค่าเท่ากัน) และในแต่ละคำสั่งจะถูกปิดด้วย ; (semi-colon) 


mysql > (เราจะพิมพ์คำสั่งต่างๆลงไป)

ถ้าต้องการออกใช้
mysql > quit
mysql > show databases; แสดง  databases ทั้งหมดที่เราสร้างขึ้น

mysql > use <ชื่อ database> เป็นการเข้าใช้ database นั้นๆ
mysql > SELECT database(); ดู database ที่เรากำลังใช้อยู่
mysql > show tables; แสดงตารางทั้งหมดที่เราสร้างขึ้นใน database ที่ use

สร้าง DATABASE
mysql > create database  <ชื่อdatabase>;
เช่น create database world;


สร้าง table
mysql > create table <ชื่อtable> (<ชื่อข้อมูล> <ชนิดข้อมูล>, ... );
เช่น create table human (name VARCHAR(20), birth DATE, sex CHAR(1));
ชนิดข้อมูล เช่น
VARCHAR(n) - ข้อมูลชนิด string เก็บแบบ linked list เหมาะสมกับข้อมูลที่มีความยาวที่ไม่แน่นอน
CHAR(n) - ข้อมูลชนิด string เก็บแบบ array เหมาะสมกับข้อมูลที่มีความยาวที่แน่นอน
INT - จำนวนเต็ม
DATE - ข้อมูลชนิดพิเศษของ SQL ใช้เก็บวันที่ มีรูปแบบเป็น YYYY-MM-DD
ดูชื่อและชนิดข้อมูลของแต่ละตาราง
mysql > describe <ชื่อtable>;
การใส่ข้อมูลลงไปใน table
1. ใช้คำสั่ง load data จากไฟล์ที่เราเตรียมไว้ โดย default จะแบ่งเนื้อหาโดยใช้ tab แบบนี้จะมีปัญหาเรื่องการใช้ข้อมูลชนิด NULL ซึ่งใช้ \N แทน
mysql > load data local infile ‘natsu.txt’ into table pet;

2.INSERT ใส่ทีละข้อมูล เหมาะกับข้อมูลที่น้อยๆ ที่เราเพิ่มเติมเข้าไป เช่น
mysql > INSERT INTO pet VALUES (‘natsusencho’, ‘1992-03-25’, ‘M’);

3. *ทำ SQL script คือเตรียมไฟล์คำสั่ง sql ไว้แล้วนำมาทำการ source ทีเดวเช่น
ส่วนตัวแนะนำวิธีนี้เพราะเราเขียนทั้งหมดทีเดียวไม่ต้องมาใส่ทีละคำสั่ง นึกออกให้เสร็จที่เดียวแล้ว run ทีเดียวทั้งหมด
  ---- file natsu.sql ----
CREATE TABLE IF NOT EXISTS human (
       name   VARCHAR(20),
       birth DATE, 
sex CHAR(1) );
INSERT INTO human VALUES 
      ( 'NatsuSencho',   '1992-03-25', 'M'),
      ( 'Slime',   '1999-03-03', NULL ),
  ( ‘HeyFemale’ , ‘1993-12-25’ , ‘F’);
----- file natsu.sql -----
หลังจากสร้างเสร็จแล้วก้ลองใช้คำสั่ง
mysql > source natsu.sql;
ก็จะได้ตาราง world หน้าที่มีข้อมูล 3 ตัว
create table IF NOT EXISTS human
คำว่า IF NOT EXISTS หมายถึงการสร้าง table นี้ถ้ายังไม่มี table นี้ ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องสร้าง
มีสร้างก็ต้องมีลบ การลบ table ใช้คำสั่ง
mysql > DELETE FROM <ชื่อtable>;
หลังจากที่สร้างเป็นแล้วต้องสามารถแก้ไขข้อมูลได้
mysql > UPDATE <ชื่อtable> 
SET <ชื่อข้อมูล> = <ข้อมูลใหม่>
WHERE <เงื่อนไขอื่นๆ>;
เช่น UPDATE human SET name = ‘HeyGirl’ WHERE name = ‘HeyFemale’;
การสืบค้นข้อมูล หรือการดูข้อมูล
SELECT <สิ่งที่ต้องการ>
FROM   <ชื่อtable>
WHERE <เงื่อนไขอื่นๆ>
เช่นต้องการชื่อของข้อมูลในตาราง human ที่มีมีเพศชาย
SELECT name
FROM   human
WHERE sex = ‘M’; 
ต้องการดูข้อมูลทั้งหมดในตาราง human [* คือทั้งหมด]
SELECT *
FROM   human;
ซึ่งการกำหนดเงื่อนไขนั้นเราสามารถใช้ตัวแปรทางคณิตศาสตร์ตรรกะ มาช่วยได้เช่น
AND และ 
 OR หรือ
< น้อยกว่า 
 > มากกว่า
<= น้อยกว่าหรือเท่ากับ
>= มากกว่าหรือเท่ากับ
<> ไม่เท่ากับ
UNION การนำ 2 ตารางมาเชื่อมต่อกันตัดตัวซ้ำ
 UNION ALL การนำ 2 ตารางมาเชื่อมกันโดยไม่ตัดตัวซ้ำ
INTERSECT ข้อมูลที่ซ้ำกัน
DISTINCT คือการตัดตัวที่ซ้ำกันออก
เช่น SELECT DISTINCT sex
FROM   human;
ORDER BY เรียงลำดับข้อมูล การจัดกลุ่มข้อมูล
เรียงลำดับจากมากไปน้อย (descending order)
เช่น SELECT *
FROM   human
ORDER BY name;
เรียงลำดับจากน้อยไปมาก (descending order)
เช่น SELECT *
FROM   human
ORDER BY name DESC;
ถ้าต้องการมากกว่าอันนึงก็ย่อมได้
เช่น SELECT *
FROM   human
ORDER BY name , sex DESC ;
แบบนี้จะจัดตามชื่อแบบ ascending ก่อนแล้วจะมาจัดเพศแบบ descending ทีหลัง
การคำนวณเกี่ยวกับวันที่
ตัวแปร DATE เป็น string ที่มีการเก็บเป็นรูปแบบ YYYY-MM-DD ตัวแปรชนิด DATE สามารถนำมาเทียบค่ากันได้ในระดับ ASCII
CURDATE() จะเป็น function ที่ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบ DATE (YYYY-MM-DD)
YEAR(<ข้อมูลชนิดdate>) ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบของปี (YYYY)
MONTH(<ข้อมูลชนิดdate>) ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบของเดือน (MM)
DAY(<ข้อมูลชนิดdate>)  ส่งค่าออกมาเป็นข้อมูลรูปแบบของวัน (DD)
RIGHT(<ข้อมูลชนิดstring>, <จำนวนตัวเลข>) ส่งค่าออกมาจำนวนเท่ากับที่เราต้องการตัดออกมาจาก string นั้นๆ โดยเริ่มนับจากทางขวา
LEFT(<ข้อมูลชนิดstring>, <จำนวนตัวเลข>) ส่งค่าออกมาจำนวนเท่ากับที่เราต้องการตัดออกมาจาก string นั้นๆ โดยเริ่มนับจากทางซ้าย
ตัวอย่าง
ex1. ต้องการปีของวันปัจจุบัน YEAR( CURDATE() )
ex2. ต้องการเดือนและวันของปัจจุบัน RIGHT( CURDATE(),5 )
[5 ในที่นี้คือนับจากทางขวามือมา YYYY-MM-DD ก็จะได้ ​MM-DD มา]
การใช้ตัวแปร NULL ในเงื่อนไข
ใช้คำสั่ง xxx IS NOT NULL เช่นต้องการดูสิ่งมีชีิวิตที่ไม่มีเพศ
SELECT *
FROM   human
WHERE sex IS NOT NULL;
การตั้งชื่อเป็นชื่อที่เราต้องการ
หมายถึงเวลา select บางทีคนทั่วไปอาจจะไม่เข้าใจว่าคืออะไร เราจึงมีคำสั่ง AS ช่วย เช่น
SELECT name AS ‘NAME-SURNAME’
FROM   human;
COUNT การนับจำนวน + GROUP BY การจัดกลุ่ม
COUNT ใช้ในการนับจำนวนของตารางต่างๆ จะใช้คู่กับ GROUP BY ได้ดีเพราะจะช่วยในการจัดกลุ่มชุดข้อมูลได้ดีขึ้น
SELECT <อื่นๆ> COUNT(*)
FROM <ชื่อtable>
WHERE <เงื่อนไข>
GROUP BY <จัดกลุ่มโดยใช้อะไร>
เช่นต้องการนับจำนวนคนในแต่ละเพศ
SELECT sex , COUNT(*)
FROM   human
GROUP BY sex;
SET การกำหนดตัวแปร
SET @<ชื่อตัวแปร> = <ค่า>
เช่น  SET @A1 = ‘Natsu Sencho’;
SET @A2 = ‘1999-09-09’;
การใช้คำสั่ง JOIN
การ JOIN คือการนำตารางที่มีความสัมพันธ์ของข้อมูลในแต่ละฟิลมาเชื่อมโยงกัน
การ JOIN มี 2 แบบคือ
1. INNER JOIN
2. OUTER JOIN  |--- LEFT JOIN
|--- RIGHT JOIN
INNER JOIN
คือการ JOIN โดยไม่สนใจค่า NULL จะดูเพียงตัวที่เหมือนกันเท่านั้น
สมมติมีตาราง 2 อันชื่อ Ltable และ ​Rtable นำมา JOIN กันโดยมีข้อมูลที่ซ้ำกันคือ id
-- JOIN โดยใช้ ON
SELECT *
FROM Ltable INNER JOIN Rtable ON Ltable.id = Rtable.id;
-- หรือ JOIN โดยใช้ USING
SELECT *
FROM Ltable INNER JOIN Rtable USING (id);
กรณีพิเศษที่ตัวแปรหรือชื่อ Column ซ้ำกันก็สามาใช้ NATURAL JOIN ได้ อย่างในที่นี้เรารุ้ว่า id นั้นซ้ำกันเราก็ไม่ต้องใส่เงื่อนไขใดๆ แต่ใช้ Natural Join เข้ามาช่วยโดย
SELECT *
FROM Ltable NATURAL JOIN Rtable;
OUTER JOIN
  • LEFT JOIN
คือการ JOIN โดยใช้ตัวทางซ้ายเป็นหลักคือ จะแสดงตัวทางซ้ายทุกตัวและนำข้อมูลขวามาเชื่อม
SELECT *
FROM Ltable LEFT JOIN Rtable ON Ltable.id = Rtable.id;
  • RIGHT JOIN
คือการ JOIN โดยใช้ตัวทางขวาเป็นหลักคือ จะแสดงตัวทางขวาทุกตัวและนำข้อมูลขวามาเชื่อม
SELECT *
FROM Ltable RIGHT JOIN Rtable ON Ltable.id = Rtable.id;
นอกจากวิธีการ JOIN ยังมีวิธีที่เรียกว่า Cartesian Product ซึ่งไม่ได้อทิบายไว้ในทีนี้
ถ้ามีโอกาศจะนั่งทำตัวอย่างให้ดูให้เห็นได้ชัดกว่านี้นะครับ แต่ผมสรุปแบบคร่าวๆ ให้พอดู
รวมคำศัพท์คำสั่งที่เจอเพจนี้
CREATE สร้างdatabase, table
INSERT ใส่ข้อมูล
UPDATE อัพเดตข้อมูล
SELECT ต้องการจะดูอะไรบ้าง
FROM จากที่ไหน
WHERE เงื่อนไขอย่างไร
COUNT(*) นับจำนวนของฟิลข้อมูล
GROUP BY จัดกลุ่มข้อมูล
ORDER BY เรียงลำดับข้อมูลโดย
JOIN เชื่อมตาราง
DISTINCT ตัดตัวซ้ำ
AS ใช้คำใหม่ให้กระทัดรัดขึ้น
SET กำหนดตัวแปร
CURDATE() วันที่ปัจจุบัน
YEAR() ปี
MONTH() เดือน
DAY() วัน
RIGHT() ตัดคำจากทางขวา
LEFT() ตัดคำจากทางซ้าย
* ทั้งหมด

อ้างอิง : เอกสารประกอบการสอนวิชา Databases โดยอาจารย์จิระ 2012 มหาวิทยาลัยบูรพา

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556


San Francisco
       
       ซานฟรานซิสโก หรือ แซนแฟรนซิสโก (San Francisco) คือเมืองในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีประชากร ประมาณ 808,976 คน ซึ่งเป็นเมืองที่มีความหนาแน่นประชากรเป็นอันดับสองของประเทศ เมืองซานฟรานซิสโกตั้งอยู่บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก
ชาวยุโรปกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากในซานฟรานซิสโกคือชาวสเปน โดยในปี ค.ศ. 1776 เมืองมีชื่อว่า เซนต์ฟรานซิส (St. Francis) ในภายหลังจากช่วงยุคตื่นทองในปี ค.ศ. 1848 ทำให้ประชากรในซานฟรานซิสโกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมืองเติบโตอย่างมาก ถึงแม้ว่าซานฟรานซิสโกจะประสบปัญหา แผ่นดินไหวและไฟ้ไหม้ขนาดใหญ่ในช่วงปี ค.ศ. 1906 ซานฟรานซิสโกกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และได้ชื่อว่าเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในแถบชายฝั่งตะวันตกของประเทศ
ซานฟรานซิสโกมีลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเขา และมีชายฝั่งติดกับมหาสมุทรแปซิฟิก สัญลักษณ์ที่ขึ้นชื่อของเมืองซานฟรานซิสโกได้แก่ สะพานโกลเดนเกต และแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงได้แก่ เกาะอัลคาทราซ รถรางซานฟรานซิสโก Pier 39 และ ถนนลอมบาร์ด ทีมกีฬา อเมริกันฟุตบอล ที่สำคัญได้แก่ ซานฟรานซิสโก 49ers เป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ และชาวเอเชียอาศัยที่อ่าวซานฟรานซิโกเป็นจำนวนมาก


U Must Go  

Golden Gate Bridge
       สะพานโกลเดนเกต ( Golden Gate Bridge) ทอดยาวข้ามอ่าวตอนเหนือของเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาสร้างในสมัยประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ เมื่อปี ค.ศ. 1933 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1937 ตอนกลางสะพานยาว 1,280 เมตร กว้าง 27 เมตร สูงกว่าระดับน้ำทะเล 67 เมตร มีทางรถยนต์ 6 ทาง รถบรรทุก 3 ทาง รถไฟ 2 ทาง ใช้งบประมาณก่อสร้างราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
"สะพานโกลเดนเกท-Golden Gate" ความหมายคือ "ประตูทอง" ต้อนรับผู้มุ่งมาซานฟรานซิสโก ทำสถิติเป็นสะพานแขวนแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นเส้นทางสู่อ่าวซานฟรานซิสโก และเชื่อมระหว่างซานฟรานฯ กับมาริน เคาท์ตี
     สะพาน ทาสีแดงอมส้มสดตามสีสัญลักษณ์ของซานฟรานฯ ใช้งบประมาณในการสร้าง 35 ล้านดอลลาร์ เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1933 อันเป็นช่วงสมัยของประธานาธิบดีแฟรงกิน ดี. รูสเวลต์ มี โจเซฟ สเตราส์ เป็นวิศวกร ฝากฝีมือบันทึกไว้บนสะพานโกลเดน เกทสีแดงอมส้มที่จะเปล่งแสงสะท้อนเมื่อยามแสงอาทิตย์ตกกระทบ ความงามทางด้านวิศวกรรมได้รับการยกย่องจากสมาคมวิศวกรพลเรือนอเมริกันให้ เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก



The Japanese Tea Garden 
                  
         The Japanese Tea Gardenเป็นสวนญี่ปุ่นที่เก่าเเก่ที่สุดในสหรัฐ มีพื้นที่ 20,000 m²หรือ 5 acres ซึ่งถุกตกทอดจาก california mid-winter exposition in 1894 เเม้ว่า Japanese tea garden จะเปลี่ยนมาจาก Japanese Village เเต่ก็ยังมีสิงที่ทำให้เตือนความจำเช่นมี the splendid moon bridge , tea house etc Makoto Hagiwara a wealthy Japanese landscape designer(-1925),เดินทางมาสหรัฐในปลายปีค.ศ 1800s เป็นผู้ก่อต้้ง เเละดูเเลจากคศ 1895 จนกระทั่งในปีค.ศ 1942 ครอบครัวได้ถูกส่งไปเป็นนักโทษในเเคมป์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง


 

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

New York City

       นครนิวยอร์ก หรือที่นิยมเรียกกันว่า นิวยอร์กซิตี้ (New York City; NYC) เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในโลก เป็นมหานครเอกของโลก จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การเงิน วัฒนธรรม บันเทิง ที่สำคัญที่สุดของโลก เป็นเมืองที่มี ตึกระฟ้า ตึกสูงมากที่สุดในโลก ตลอดระยะเวลา 150 ปี และยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ อีกด้วย




นี่แหละ NYC

1. Empire State Building


ตึกเอ็มไพร์สเตท ( Empire State Building) เป็นหนึ่งในอาคารระฟ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ตั้งอยู่บนเกาะแมนฮัตตัน ในรัฐนิวยอร์ก นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา บริเวณจุดตัดของถนน Fifth Avenue และ West 34 Street

นับ เป็นอาคารหลังแรกของโลกที่มีความสูงมากกว่า 100 ชั้น ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอเมริกัน วิลเลียม เฟรดเดอริค แลมบ์ ( William Frederick Lamb )




2. Chrysler Building

ตึกไครสเลอร์ (Chrysler Building) เป็นอาคารที่มีชื่อเสียงอีกแห่งในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวอาคารตกแต่งตามสถาปัตยกรรม อาร์ตเดคโค( Art Deco) ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของเกาะแมนฮัตตัน บริเวณจุดตัดของถนน 42 Avenue และ ถนนเลกซิงตัน (Lexington Avenue) มีความสูงทั้งสิ้น 77 ชั้น ด้วยความสูง 1,046 ฟุต กับอีก 4.5 นิ้ว หรือประมาณ 319 เมตร

ตึกไครสเลอร์ เคยเป็นอาคารสูงที่สุดในโลกตั้งแต่ พ.ศ.2473 นาน 11 เดือนก่อนที่จะถูกล้มตำแหน่งโดย ตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire State Building) ที่สร้างเสร็จใน พ.ศ.2480 (1931)
ตึก ไครสเลอร์เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกของสถาปัตยกรรม อาร์เดคโค (Art Deco) ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อ วิลเลียม แวน อเล็น (William Van Alen) และผ่านการพิจารณาโดยสถาปนิกร่วมสมัยว่าเป็นหนึ่งในอาคารที่ดีที่สุดในนคร นิวยอร์กในปี 2007



3.Statue of Liberty


อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ หรือ เทพีเสรีภาพ เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ และมีคุณค่าทางจิตใจ ในภาษาอังกฤษ เรียกว่า Statue of Liberty แต่เดิมชื่อว่า Liberty Enlightening the World ตั้งอยู่ ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419 โดยส่งมอบอย่างเป็นทางการ โดยมี ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429

         เทพีเสรีภาพ เป็นประติมากรรมโลหะสำริด รูปเทพีห่มเสื้อคลุม มือขวาชูคบเพลิง มือซ้ายถือถือแผ่นจารึกคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ และมีอักษรสลักว่า "JULY IV MDCCLXXVI" หรือ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319(ค.ศ. 1776) เท้าข้างหนึ่งมีโซ่ที่ขาด แสดงถึงความหลุดพ้นจากการเป็นทาส สวมมงกุฎ 7 แฉกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทะเลทั้งเจ็ด หรือทวีปทั้งเจ็ด ภายในมีบันไดวนรวมทั้งสิ้น 162 ขั้น เกิดขึ้นตามแนวคิดของเอดูอาร์ด เดอ ลาบูลาเย นักประวัติศาสตร์ ชาวฝรั่งเศส เพื่อระลึกถึงความสัมพันธ์ของสหรัฐอเมริกา และ ฝรั่งเศส ระหว่างการปฏิวัติอเมริกัน ออกแบบโดยเฟรเดรีค โอกุสต์ บาร์โทลดี โครงร่างเหล็กออกแบบโดย เออแชน วียอเลต์-เลอ-ดุค และกุสตาฟ ไอเฟล ซึ่งเป็นผู้ออกแบบหอไอเฟล ในกรุงปารีส ส่วนฐานอนุสาวรีย์ สร้างโดยสหรัฐอเมริกา จารึกโคลงซอนเนต์ของกวีชาวอเมริกัน เอมมา ลาซารัส ซึ่งมีเนื้อหาต้อนรับผู้อพยพที่เข้าอยู่มาในอเมริกา
         สาเหตุที่ทำให้ชาวฝรั่งเศสมอบเทพีเสรีภาพให้แก่สหรัฐอเมริกา เพราะว่า พวกเขาชื่นชมชาวอเมริกันที่หาญกล้าหาญ ที่ลุกขึ้นสู้กับสหราชอาณาจักร และประกาศอิสรภาพ จากสหราชอาณาจักรสำเร็จ เป็นชาติเอกราชในที่สุด ชาวฝรั่งเศส จึงรณรงค์หาเงินบริจาคจากทั่วประเทศ
ในการขนส่งจากฝรั่งเศส มายังสหรัฐอเมริกา เนื่องจากความใหญ่โตของอนุสาวรีย์ ทำให้ต้องแยกส่วนแล้วมาประกอบที่อเมริกา มีชิ้นส่วนรวมทั้งหมด 350 ชิ้น และนำมาประกอบขึ้นใหม่โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน แต่ส่วนฐาน พบว่ามีการสร้างเสร็จ ในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2429 โดยหมุดตัวสุดท้ายถูกประกอบเสร็จ ในวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2429
ปี พ.ศ. 2527 องค์การยูเนสโก ประกาศให้อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ เป็นมรดกของโลก ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมไม่น้อยกว่า 800,000 คน
       ตามปกติแล้ว ประชาชนสามารถขึ้นไปชมวิวบนส่วนหัวมงกุฎของเทพีได้ แต่หลังเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทางการได้สั่งปิดอนุสาวรีย์ดังกล่าว ล่าสุด มีการเปิดให้นักท่องเที่ยว สามารถเดินทางไปที่เกาะ เพื่อชมความสวยงามของอนุสาวรีย์จากด้านล่างได้ แต่ยังตัวอนุสาวรีย์ยังปิดอยู่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่ส่วนฐานของอนุสาวรีย์ ด้วยเหตุผลทางด้านความปลอดภัย




4.Central Park

      เซ็นทรัลปาร์ก เป็นสวนสาธารณะกลางใจนครนิวยอร์ก ซ็นทรัล พาร์ค สร้างเสร็จเมื่อปี 1873 มีขนาดอยู่ที่ 341 เฮกตาร์ (3.4 ตารางกิโลเมตร หรือสนามฟุตบอล 460 สนามต่อกัน) โดยผู้คนที่เดินทางมาที่นี้ ไม่ใช่มาเพื่อเดินหรือวิ่งออกกำลังเท่านั้น ภายในสวนสาธารณะแห่งนี้ ยังมีสวนสัตว์ รูปปั้น ร้านอาหาร เรือถีบ ม้าหมุน ลานสเก็ต นั่งปิคนิค และลานน้ำพุ ที่สำคัญที่ เซ็นทรัล พาร์ค ยังเป็นสถานที่ยอดนิยมที่กองภาพยนต์ มักเลือกใช้มาเป็นส่วนหนึ่งในฉากประกอบ






5.Metropolitan Museum of Art


        พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน (อังกฤษ: Metropolitan Museum of Art หรือ the Met) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ตั้งอยู่ที่ทางตะวันออกของเซ็นทรัลพาร์คในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา พิพิธภัณฑ์เมโทรโปลิตันก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1870

        พิพิธภัณฑ์เป็นเจ้าของงานศิลปะถาวรกว่าสองล้านชิ้นที่แบ่งเป็นสิบเก้าแผนก  อาคารหลักมักจะเรียกสั้นๆ ว่า “the Met” เป็นหอศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกหอศิลป์หนึ่งแลมีสาขาที่สองที่เล็กกว่าที่“เด อะคล็อยสเตอร์ส” (The Cloisters) ในอัพเพอร์แมนแฮตตัน Upper Manhattan ซึ่งเป็นที่ตั้งแสดงศิลปะยุคกลาง

ศิลปะถาวรที่เป็นเจ้าของเป็นงานศิลปะตั้งแต่ศิลปะยุคคลาสสิกและศิลปะอียิปต์โบราณ, จิตรกรรมและประติมากรรมของจิตรกรชั้นครูจากเกือบทุกประเทศในยุโรปตะวันตก และงานสะสมศิลปะอเมริกันและศิลปะสมัยใหม่ นอกจากนั้นพิพิธภัณฑ์ก็ยังเป็นเจ้าของงานศิลปะจากแอฟริกา, เอเชีย, ศิลปะจากหมู่เกาะปาซิฟิค, ศิลปะไบเซนไทน์ และศิลปะอิสลาม  นอกไปจากศิลปะแล้วพิพิธภัณฑ์ก็ยังสะสมเครื่องดนตรี, เสื้อผ้าและเครื่องตกแต่ง, อาวุธโบราณ, เสื้อเกราะและอาวุธจากทั่วโลก ภายในพิพิธภัณฑ์มีสิ่งก่อสร้างที่แสดงการตกแต่งภายในเป็นการถาวรตั้งแต่จาก คริสต์ศตวรรษที่ 1 ของสมัยโรมันไปจนถึงสมัยใหม่ของสหรัฐอเมริกา

พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตันก่อตั้งในปี ค.ศ. 1870 โดยกลุ่มชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งรวมทั้งนักธุรกิจและนักการเงินและผู้นำศิลปินและนักคิดในสมัยนั้น ผู้ที่ประสงค์จะก่อตั้งพิพิธภัณฑ์ที่นำศิลปะและการศึกษาศิลปะมาสู่ประชาชน อเมริกัน พิพิธภัณฑ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1872
ในปี ค.ศ. 2007 พิพิธภัณฑ์มีความยาวทั้งสิ้นเกือบหนึ่งในสี่ไมล์และมีเนื้อที่ทั้งหมดกว่าสองล้านตารางฟุต





 6.Rockefeller Center

        ร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์เป็นจุดนัดพบหลักสำหรับชาวนิวยอร์กและนักท่องเที่ยว โลเวอร์พลาซ่าเป็นลานสเก็ตสเก็ตน้ำแข็งที่มีชื่อเสียงในฤดูหนาวและเป็นลาน การรับประทานอาหารกลางแจ้งในฤดูร้อนหน้ารูปปั้นสำริดของโพรมีเธียส ในเดือนธันวาคมและมกราคมจะมีการจัดต้นคริสต์มาสของเมืองและตลอดทั้งปีจะใช้ เป็นสถานที่สำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบรายการโทรทัศน์ รายการ Saturday Night Live และ Today Show ของช่อง NBC มีการบันทึกรายการที่นี่ แม้กระทั่งรายการทัวร์ของสตูดิโอ NBC ส่วน Radio City Music Hall ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมของร็อคเฟลเลอร์ เซ็นเตอร์เลยก็ว่าได้








7.Yankee Stadium


        สนามกีฬาแยงกี้ในตำนานแห่งนี้จะอยู่ในความทรงจำของใครหลายๆคนไปอีกแสนนาน สถานที่แห่งนี้มีความคลาสสิคและใช้เป็นที่จัดงานที่เต็มไปด้วยฝูงชนมากมาย มีการจัดการแข่งขันกีฬาในช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคม และแม้ว่าคุณจะไม่มีตั๋วเข้าชมแต่คุณก็ยังสามารถเดินทางไปกับทัวร์ที่จัด ขึ้นเพื่อเข้าชมสนามกีฬาในวันที่ไม่มีการแข่งขันได้







7.Broadway

          ละครบรอดเวย์ (Broadway theatre) มีชื่อเสียงทางด้านของศิลปะการละครเวที มีเอกลักษณ์ของละครอเมริกันอย่างที่นิยมกันเรียกกันว่าละครเพลง มีองค์ประกอบรูปแบบการแสดง เพลงและการเต้นรำในลักษณะต่างๆ ที่กำหนดไว้อย่างตายตัวไม่ว่าจะมีการแสดงสักกี่รอบก็ตาม โดย บรอดเวย์ เป็นชื่อของถนนสายหนึ่งในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา
และวงการภาพยนตร์ก็มักจะนำเรื่องราวจากละครเพลงมาทำเป็นภาพยนตร์และส่วน มากจะประสบความสำเร็จได้รางวัลอยู่เสมอ เช่น เรื่อง West Side Story, The Sound of Music, South Pacific, The King and I, และ Chicago เป็นต้น
ละครเพลงบรอดเวย์ แต่ละเรื่องมักได้รับความนิยมยาวนานมาก ตัวอย่าง เมื่อวันที่ 9 มกราคมปีนี้เอง ที่สถิติบันทึกว่า ละครเพลงเรื่อง The Phantom Of Opera ได้ทำการแสดงยาวนานที่สุด จำนวน 7,486 รอบ ณ โรงละครมาเจสติก และหลายเรื่องได้รับรางวัลโทนี่ ซึ่งเป็นมาตรฐานดีที่สุดของวงการบรอดเวย์